เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้จักและคุ้นเคย คำว่า “EXPO” (Exposition) กันเป็นอย่างดี เพราะนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดงานแสดงนิทรรศการ งานแสดงสินค้า และธุรกิจอุตสาหกรรม จัดเป็นงานมหกรรมในการ “โชว์ของ” เพื่อแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมหรือซอฟต์พาวเวอร์ และเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ

    การจัดงาน EXPO ไม่ได้เป็นเพียงแค่การโชว์ของเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผู้จัดงานอีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ การส่งเสริมการจ้างงาน และการจับจ่ายซื้อสินค้าภายในงาน เรียกว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการในการแนะนำสินค้าและบริการใหม่ ๆ ตลอดจนการเจรจาความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่

ด้านบริษัทหรือผู้ประกอบการก็ได้รับประโยชน์จากการออกบูธในงาน EXPO ด้วย โดยหลัก ๆ แล้ว ได้แก่

• สร้างการรับรู้แบรนด์สินค้า – ลูกค้าคุ้นเคยหรือจดจำแบรนด์สินค้าหรือบริการอย่างใกล้ชิด

• เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง – สามารถทดลองตลาด สาธิตสินค้า และรับคำติชมจากลูกค้าจริง

• ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ – พบปะกับผู้ซื้อรายใหญ่ นักลงทุน หุ้นส่วน และพันธมิตรทางธุรกิจ

• เปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ – เป็นเวทีเปิดตัวเทคโนโลยีนวัตกรรม และทดลองตลาด

• ดึงดูดการลงทุน – พบปะนักลงทุนและบริษัทร่วมทุนที่กำลังมองหาโอกาสหรือขยายธุรกิจใหม่ ๆ

• เรียนรู้แนวโน้มตลาดและคู่แข่ง – ได้รับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับแนวโน้มอุตสาหกรรมและเทคนิคของคู่แข่ง

    อีกหนึ่งแง่มุมที่สำคัญด้วยคือ ผู้ที่มาเยี่ยมชมงานนอกจากจะมีโอกาสสัมผัสความอลังการและความตื่นเต้นภายในงาน EXPO ที่หาไม่ได้จากที่อื่นแล้ว ยังจะได้ประโยชน์อีกหลายด้าน อาทิ นวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยแห่งอนาคต โอกาสด้านการศึกษาและธุรกิจ แนวโน้มและทิศทางตลาดโลก ความท้าทายล่วงหน้า กิจกรรมหรือไฮไลต์เด่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางข้ามไปชมถึงต่างประเทศ

    ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่เศรษฐกิจโลกให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืน หลายประเทศจึงใช้เวทีงาน EXPO เพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน และช่องทางในการนำเสนอแนวคิด “Green” เพื่อตอบโจทย์แนวโน้มของผู้บริโภคและนักลงทุนที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนี้คือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ตลอดจนการบริหารจัดการของการจัดงานที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การลดขยะจากงาน EXPO เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังสังเกตได้อีกว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น งาน EXPO จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีโชว์ของสำหรับองค์กรขนาดใหญ่หรือรัฐบาลอีกต่อไป แต่ยังกลายเป็นพื้นที่เชื่อมโยงนวัตกรรมสร้างสรรค์และธุรกิจหน้าใหม่ ๆ หรือสตาร์ตอัป (Startup) ให้มีโอกาสเติบโตและขยายเครือข่ายในระดับสากลอีกด้วย

    สำหรับการจัดงาน EXPO ในประเทศไทย จะพบว่ามีผู้จัดงาน EXPO และงานแสดงสินค้าหลายราย โดยแต่ละรายมีจุดแข็งและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน อาทิ การท่องเที่ยว อาหาร ยานยนต์ สมาร์ตโฟนและเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการผลิต

    ยกตัวอย่างงาน EXPO ของภาคอุตสาหกรรมที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยคือ “FTI Expo 2022” ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน-3 กรกฎาคม 2565 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ผ่านมา การจัดงานในครั้งนั้นสามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมงานกว่า 60,000 คน เกิดการจ้างงานกว่า 2,000 คน เกิดการใช้จ่ายกว่า 329 ล้านบาท สร้างมูลค่ากว่า 1,237 ล้านบาท เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมดรวมกว่า 2,839 ล้านบาท

    และความสำเร็จเช่นนี้กำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศไทย กับงาน “FTI Expo 2025” งานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ภายใต้แนวคิด “4 Go – Go Digital & AI, Go Innovation, Go Green, Go Global” ระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบกับไฮไลต์เพื่อนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ได้แก่ Innovation Showcase, BCG & Climate Change, Future Trend, Start Up Pitching, Business Matching, Awards, FTI Outlet ซึ่งคาดการณ์จำนวนผู้เข้าร่วมชมงานจากไทยและต่างประเทศไม่น้อยกว่า 70,000 คน รวมถึงการสร้างโอกาสทางการค้ากว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเกิดเงินสะพัดภายในงานถึง 5,000 ล้านบาท

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่างาน EXPO ไม่ได้เป็นแค่งานโชว์ของ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแท้จริง…ไปเถอะ ! โอกาสพิเศษอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว

แชร์บทความ