ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ EPR ก่อนว่าตัวอักษร 3 ตัวนี้คืออะไร และจะสำคัญอย่างไรกับผู้ผลิตหรือภาคเอกชนที่มีแบรนด์สินค้าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนกฎหมาย EPR บังคับใช้ในปี 2570

ทำความรู้จัก EPR

    EPR ย่อมาจากคำว่า Extended Producer Responsibility หรือภาษาไทยคือ หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต เป็นหลักการที่กำหนดให้ผู้ผลิตสร้างความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของตนเองตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย หรือตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การเริ่มต้นคิด ออกแบบ การจัดส่งกระจายสินค้า การรับคืน การเก็บรวบรวม การใช้ซ้ำ จนนำมาสู่การนำกลับมาใช้ใหม่ และการบำบัด เพื่อเป้าหมายให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงสร้างความมั่นคงของวัตถุดิบ และส่งผลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งจากหลักการที่ว่านี้ในประเทศต่าง ๆ นำมาพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยผู้ผลิตจะต้องหันมาทบทวนกระบวนการผลิตของตนและปลายทางของผลิตภัณฑ์ เพื่อรับผิดชอบผ่านการดำเนินการเอง (Individual Producer Responsibility: IPR) หรือองค์กรผู้แทน (Producer Responsibility Organization: PRO) เพื่อให้เกิดการรวบรวมและนำกลับมาใช้ใหม่

    Individual Producer Responsibility หรือ IPR เป็นความรับผิดชอบที่ผู้ผลิตดำเนินการเอง ตั้งแต่การออกแบบ เก็บกลับ การรวบรวม การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งผู้ผลิตที่มีความพร้อมก็สามารถเลือกรูปแบบนี้ได้ หรืออีกหนึ่งทางเลือกตามหลักการนี้ ผู้ผลิตสามารถรับผิดชอบผ่าน PRO ซึ่งย่อมาจาก Producer Responsibility Organization ที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบแทนผู้ผลิต หน้าที่โดยหลักของผู้ผลิตคือ ขึ้นทะเบียน จัดทำแผน ดำเนินการตามแผน เก็บรวบรวมข้อมูล และรายงานผลการดำเนินงานให้แก่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ในบางประเทศ มี PRO เพียงหนึ่งองค์กร แต่ในบางประเทศอาจมีมากกว่าหนึ่งองค์กร ซึ่งอาจทำให้มีการจัดตั้งองค์กรกลางขึ้นเพื่อควบคุม และกำกับดูแล PRO ให้อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์และมุ่งเน้นความโปร่งใส

    หลักการ EPR ถึงแม้จะกล่าวถึงความรับผิดชอบของผู้ผลิตเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในความรับผิดชอบนี้อีกหลายกลุ่ม ซึ่งหากพิจารณาจากสินค้าโดยทั่วไป ผู้มีส่วนรับผิดชอบร่วมอาจพิจารณาได้จากวงจรชีวิต โดยเริ่มจาก 1) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ที่มีหน้าที่ในการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่ได้ 2) ผู้ผลิตสินค้า ที่เลือกบรรจุภัณฑ์มาบรรจุสินค้า และส่งต่อไปยัง 3) ผู้จำหน่าย ซึ่งมีส่วนในการสนับสนุนการเก็บกลับ โดยการตั้งจุดรวบรวมหรือสื่อสารกับ 4) ผู้บริโภค ที่จะเลือกสินค้าไปบริโภค และจัดการของเหลือใช้โดยการแยกประเภทเพื่อนำไปสู่ 5) ผู้รวบรวม ที่จะนำของเหลือใช้ไปส่งกลับ 6) โรงงานรีไซเคิล ซึ่งมีหน้าที่ในการพัฒนากระบวนการรีไซเคิลให้รองรับผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ เหล่านี้คือ ห่วงโซ่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามหลักการ EPR

ทำความรู้จัก EPR

    จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น เกิดจากมลพิษและการกระทำอันเกิดจากมนุษย์ ขยะ ถือเป็นปัญหาใกล้ตัวและนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น จากข้อมูลองค์ประกอบขยะ ณ หลุมฝังกลบ นอกจากเศษอาหารที่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง ยังพบบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วหลายชนิดรองลงมา ทั้งพลาสติก กระดาษ แก้ว อะลูมิเนียม ที่เกิดจากการบริโภคสินค้าและบริการที่มากขึ้น รวมถึงความซับซ้อนของบรรจุภัณฑ์ที่เกิดจากการสนองต่อรูปแบบการบริโภคในยุคปัจจุบัน ทำให้การจำแนกและการนำกลับมาแปรรูปมีความยากมากขึ้น อีกทั้งบรรจุภัณฑ์หลายชนิดถูกออกแบบมาให้ดูสวยงาม น่าสนใจ แต่กลับไม่คำนึงถึงความสะดวกในการรีไซเคิล

    นอกจากนี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขยะยังมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งรูปแบบการเลือกใช้และการจัดการหลังการใช้งาน โดยประเด็นสำคัญคือ ไม่มีการคัดแยกในครัวเรือน ทำให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และยิ่งขยะบรรจุภัณฑ์ขาดการจัดการที่ดีและถูกต้องแล้ว ยิ่งส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะขยะที่ไม่ได้แยกประเภทก็จะทำให้ไม่สามารถนำกลับไปใช้ซ้ำหรือแปรรูปใหม่ได้ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาขยะอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภคคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง

ทำไม EPR จึงนำมาใช้ในการจัดการบรรจุภัณฑ์ ?

    ในต่างประเทศที่มีการนำหลักการ EPR มาใช้แล้ว อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย อิสราเอล และประเทศล่าสุดคือ เวียดนาม ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมกราคม 2565 และมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ 3 ประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการร่างเป็นกฎหมาย ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และกานา

    แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับ EPR อย่างเป็นรูปธรรมก็ตาม แต่ขณะนี้ได้อยู่ในระหว่างการยกร่างกฎหมาย ซึ่งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ว่าจ้างภาคการศึกษาในการจัดทำร่างพร้อมอนุบัญญัติ ในปี 2566 การรับฟังความเห็นหลายครั้งในช่วงปี 2567 และหลังจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนของรัฐสภาต่อไป เป้าหมายของร่าง พ.ร.บ. การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน พ.ศ. … คาดว่าจะมีประกาศบังคับใช้ในปี 2570 โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีใจความสำคัญคือ การกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องเข้ามารับผิดชอบในบรรจุภัณฑ์ที่จะถูกประกาศรายชื่อหลังกฎหมายประกาศใช้ ซึ่งความรับผิดชอบโดยหลักจะครอบคลุมการส่งเสริมให้เก็บรวบรวม คัดแยก และรีไซเคิลที่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งความรับผิดชอบนี้มักอยู่ในรูปแบบของค่าธรรมเนียม EPR หรือ EPR Fee รวมไปถึงการพัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ตามหลักการ Eco-design โดยมุ่งให้นำกลับมาใช้ซ้ำและใช้ใหม่ ซึ่งการออกแบบตามหลักการ Eco-design จะทำให้ผู้ผลิตลดความรับผิดชอบลงได้ ในต่างประเทศ บรรจุภัณฑ์ประเภทเดียวกัน แต่ใช้วัสดุต่างกัน รูปแบบต่างกัน อาจทำให้ EPR Fee แตกต่างกันได้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังมีการกำหนดรายละเอียดต่างๆ รวมถึงบทบาทของผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ความรับผิดชอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหลักการ EPR จะช่วยแก้ปัญหาได้จริง อย่างไรก็ตาม การมีร่างพระราชบัญญัตินี้นับเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาขยะและมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

    นอกไปจากบรรจุภัณฑ์ ในประเทศต่าง ๆ ยังมีการนำหลัก EPR ไปใช้ในการแก้ปัญหาขยะประเภทอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ถ่านไฟฉาย เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นขยะแล้วจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยก็มีแนวคิดการนำหลักการ EPR มาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการยกร่างกฎหมายพร้อมไปกับบรรจุภัณฑ์

แชร์บทความ